ในยุคปัจจุบันที่สังคมให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ ความอ้วนมักถูกมองว่าเป็นเพียงเรื่องของรูปร่าง ความสวยงาม หรือบุคลิกภาพภายนอก แต่แท้จริงแล้ว “โรคอ้วน” (Obesity) คือหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่รุนแรงและซับซ้อนมากที่สุดในโลกยุคใหม่
องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ปัจจุบันมีประชากรมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลกที่อยู่ในภาวะอ้วน และตัวเลขนี้ยังคงเพิ่มขึ้นทุกปี รวมถึงในประเทศไทย ซึ่งมีอัตราคนที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์และเป็นโรคอ้วนมากกว่า 35% ของประชากรผู้ใหญ่ทั้งหมด
โรคอ้วนไม่ได้เป็นเพียง “ความอ้วนเฉย ๆ” แต่คือ ความผิดปกติของการเผาผลาญ (Metabolic Disorder) ที่เกี่ยวข้องกับการสะสมไขมันส่วนเกินในร่างกาย ซึ่งนำไปสู่โรคแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และโรคไขมันพอกตับ
การเข้าใจโรคอ้วนอย่างถูกต้องจึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการดูแลสุขภาพ เพราะ “การลดน้ำหนัก” ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อให้ดูดีในกระจกเท่านั้น แต่เพื่อให้ “ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว”
โรคอ้วน คือภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันมากเกินไปจนเกิดผลเสียต่อสุขภาพ โดยเฉพาะไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ซึ่งเป็นไขมันอันตรายที่ไปห่อหุ้มอวัยวะภายใน เช่น หัวใจ ตับ และตับอ่อน
วิธีพื้นฐานที่สุดในการประเมินภาวะอ้วนคือการคำนวณ BMI (Body Mass Index)
สูตร:
BMI = น้ำหนัก (กิโลกรัม) ÷ (ส่วนสูง (เมตร))²
เกณฑ์มาตรฐานของคนไทย (กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข):
อีกหนึ่งตัวชี้วัดที่สำคัญคือ “เส้นรอบเอว” ซึ่งสะท้อนปริมาณไขมันในช่องท้องได้ดีกว่า BMI
ภาวะ “อ้วนลงพุง” เป็นปัจจัยหลักที่เชื่อมโยงกับโรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน และภาวะไขมันในเลือดสูง
โรคอ้วนไม่ได้เกิดจาก “การกินมากเกินไป” เพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลของหลายปัจจัยที่ซับซ้อน ทั้งด้านชีววิทยา พันธุกรรม พฤติกรรม และสิ่งแวดล้อม
อาหารสมัยใหม่มักมีพลังงานสูง ไขมันและน้ำตาลมาก เช่น อาหารจานด่วน เครื่องดื่มหวาน หรือของขบเคี้ยว ซึ่งกินง่ายแต่ให้พลังงานมากกว่าที่ร่างกายต้องการ ทำให้เกิดการสะสมพลังงานส่วนเกินในรูปของไขมัน
วิถีชีวิตแบบ “นั่งทำงานทั้งวัน” (Sedentary Lifestyle) ทำให้ร่างกายใช้พลังงานน้อยกว่าที่รับเข้า ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ โดยเฉพาะในวัยทำงาน
บางคนมีพันธุกรรมที่ส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานช้ากว่าปกติ หรือมีความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น ภาวะไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroidism) หรือโรคคุชชิง (Cushing’s Syndrome) ที่ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นง่าย
ความเครียด นอนไม่พอ หรือภาวะซึมเศร้า กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเพิ่มความอยากอาหาร โดยเฉพาะอาหารหวานหรือมัน ทำให้กินมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ในเมืองใหญ่ที่มีอาหารสะดวกซื้อราคาถูกแต่ให้พลังงานสูง ขณะที่พื้นที่ออกกำลังกายมีจำกัด ทำให้คนรุ่นใหม่เผชิญกับภาวะ “กินง่าย ออกกำลังกายน้อย” ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคอ้วนในวงกว้าง
โรคอ้วนส่งผลกระทบต่อเกือบทุกระบบในร่างกาย และอาจก่อให้เกิดโรคร้ายแรงหลายชนิด
ผู้ที่มีไขมันสะสมมากจะมีแนวโน้มเกิดภาวะ ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และหลอดเลือดตีบตัน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง
ไขมันส่วนเกินในช่องท้องทำให้เกิดภาวะ “ดื้อต่ออินซูลิน” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยเฉพาะในคนอ้วนลงพุง
ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากมักมีภาวะ หยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) ส่งผลให้ออกซิเจนในเลือดต่ำและเสี่ยงต่อโรคหัวใจในระยะยาว
น้ำหนักเกินทำให้ข้อเข่าและข้อเท้าต้องรับภาระมากเกินไป จนเกิด โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis) ทำให้ปวดข้อเรื้อรังและเคลื่อนไหวลำบาก
โรคอ้วนสัมพันธ์กับ โรคตับไขมัน (Fatty Liver Disease) ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา อาจลุกลามเป็นตับอักเสบหรือตับแข็ง
ความอ้วนมักนำไปสู่การสูญเสียความมั่นใจ ความเครียด และภาวะซึมเศร้า อีกทั้งยังอาจเผชิญกับการตีตราทางสังคม (Body Shaming) ซึ่งกระทบต่อคุณภาพชีวิต
องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ผู้ใหญ่ควรออกกำลังกาย อย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ หรือขี่จักรยาน
นอกจากนี้ การทำกิจกรรมเล็ก ๆ เช่น เดินขึ้นบันได หรือทำงานบ้าน ก็ช่วยเผาผลาญพลังงานได้เช่นกัน
การนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวันมีผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน “เกรลิน” (Ghrelin) มากขึ้น ซึ่งกระตุ้นความหิว และลดฮอร์โมน “เลปติน” (Leptin) ที่ควบคุมความอิ่ม ทำให้กินมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ฝึกสมาธิ เดินเล่น หรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายจิตใจ เพื่อลดการกินตามอารมณ์ (Emotional Eating)
หากมีน้ำหนักเกินมาก ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ เพื่อรับคำแนะนำเฉพาะบุคคล บางรายอาจได้รับการรักษาเพิ่มเติม เช่น
ในอดีต หลายคนเชื่อว่า “อ้วนเพราะขี้เกียจหรือกินมากเกินไป” แต่ในทางการแพทย์ โรคอ้วนจัดเป็น โรคเรื้อรัง (Chronic Disease) ที่ต้องได้รับการรักษาและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง
แนวคิดสมัยใหม่คือ “Health at Every Size” ซึ่งมองว่าความสุขภาพดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเลขน้ำหนักเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับความสมดุลของโภชนาการ กิจกรรมทางกาย และสุขภาพจิต
โรคอ้วนเป็นปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนและต้องการความเข้าใจที่ถูกต้อง มันไม่ใช่แค่ปัญหารูปร่าง แต่คือสัญญาณเตือนว่าร่างกายกำลังเผชิญกับความไม่สมดุลทั้งทางกายและใจ
การเริ่มต้นดูแลตัวเองไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใหญ่ในทันที การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ เช่น การลดอาหารมัน การเพิ่มการเคลื่อนไหว การพักผ่อนให้เพียงพอ และการจัดการความเครียด สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง
จำไว้ว่า เป้าหมายของการลดน้ำหนักไม่ใช่ “ความผอม” แต่คือ “ความแข็งแรงและสุขภาพดีจากภายใน” ซึ่งจะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดให้กับตัวเองในระยะยาว
แนะนำคลินิกหมอตูน หาดใหญ่ สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก
ติดต่อเราหรือดูการบริการของเราได้ที่เว็บไซต์ : https://www.drtoonclinic.com
คลินิกหมอตูนเป็นพื้นที่ที่ทุกท่านจะได้รับการดูแลและคำแนะนำด้านโภชนาการ รวมถึงการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี ปลอดภัย และเป็นไปตามหลักการแพทย์